|
|
|
สหภาพพม่า(Union
of Myanmar)เป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ที่มีลักษณะพิเศษคือ เป็นเพียงประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ที่มีพรมแดนทางแผ่นดินติดต่อกับสองประเทศ ซึ่งเป็นแหล่งอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ของโลก
ได้แก่ จีน และอินเดีย แต่เดิมชาวตะวันตกเรียกประเทศนี้ว่า Burma จนกระทั่งเมื่อปี
พ.ศ. 2532 พม่าได้เปลี่ยนชื่อประเทศเป็น Myanmar
ชื่อใหม่นี้เป็นที่ยอมรับจากองค์การสหประชาชาติ แต่บางชาติ เช่น สหรัฐอเมริกา
และสหราชอาณาจักร ไม่ยอมรับการเปลี่ยนชื่อนี้
เนื่องจากไม่ยอมรับรัฐบาลทหารที่เป็นผู้เปลี่ยนชื่อ ปัจจุบันหลายคนใช้คำว่า
Myanmarซึ่งมาจากชื่อประเทศในภาษาพม่าว่าMyanma
Naingngandawไม่ว่าจะมีความเห็นเกี่ยวกับรัฐบาลทหารอย่างไรก็ตามคำว่าเมียนมาร์เป็นการทับศัพท์มาจากภาษาอังกฤษว่า
Myanmar แต่ความจริงแล้ว ชาวพม่าเรียกชื่อประเทศตนเองว่า
มยะหม่า
|
|
|
|
ประวัติศาสตร์ของพม่านั้นมีความยาวนานและซับซ้อน
มีประชาชนหลายเผ่าพันธุ์เคยอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้
เผ่าพันธุ์เก่าแก่ที่สุดที่ปรากฏได้แก่ มอญ
ต่อมาราวพุทธศตวรรษที่ 13 ชาวพม่าได้อพยพลงมาจากบริเวณพรมแดนระหว่าง จีนและ ทิเบต
เข้าสู่ที่ราบลุ่ม แม่น้ำอิรวดี
และได้กลายเป็นชนเผ่าส่วนใหญ่ที่ปกครองประเทศในเวลาต่อมา ความซับซ้อนของ ประวัติศาสตร์พม่ามิได้เกิดขึ้นจากกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในดินแดนพม่าเท่านั้น
แต่เกิดจากความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านอันได้แก่ จีน อินเดีย
บังกลาเทศ
ลาว และ ไทยอีกด้วย
|
|
|
|
ประวัติศาสตร์พม่าแบ่งออกเป็น 7 ยุค ดังนี้ัี้
ยุคมอญ
มนุษย์ได้เข้ามาอาศัยอยู่ในดินแดนของประเทศพม่าราว 11,000 ปีมาแล้ว
แต่ชนเผ่าแรกที่สามารถสร้างอารยธรรมขึ้นเป็นเอกลักษณ์ของตนได้ก็คือชาวมอญ
ชาวมอญได้อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้เมื่อราว2,400ปีก่อนพุทธกาล
และได้สถาปนาอาณาจักรสุวรรณภูมิ อันเป็นอาณาจักรแห่งแรกขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 2 ณ
บริเวณใกล้เมืองท่าตอน (Thaton)
ชาวมอญได้รับอิทธิพลของศาสนาพุทธผ่านทางอินเดียในราวพุทธศตวรรษที่
2ซึ่งเชื่อว่ามาจากการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช
บันทึกของชาวมอญส่วนใหญ่ถูกทำลายในระหว่างสงคราม
วัฒนธรรมของชาวมอญเกิดขึ้นจากการผสมเอาวัฒนธรรมจากอินเดียเข้ากับวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเองจนกลายเป็นวัฒนธรรมลักษณะลูกผสมในราวพุทธศตวรรษที่
14ชาวมอญได้เข้าครอบครองและมีอิทธิพลในดินแดนตอนใต้ของพม่า่
|
|
|
|
|
ยุคชาวพยู
ชาวปยูหรือพยูเข้ามาอาศัยอยู่ในดินแดนประเทศพม่าตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 4
และได้สถาปนานครรัฐขึ้นหลายแห่ง เช่นที่ พินนาคา (Binnaka)มองกะโม้ (Mongamo)
ศรีเกษตร (Sri Ksetra) เปียทะโนมโย (Peikthanomyo) และหะลินยี (Halingyi)
ในช่วงเวลาดังกล่าวดินแดนพม่าเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการค้าระหว่างจีนและอินเดีย
จากเอกสารของจีนพบว่า มีเมืองอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของชาวพยู 18 เมือง
และชาวพยูเป็นชนเผ่าที่รักสงบ ไม่ปรากฏว่ามีสงครามเกิดขึ้นระหว่างชนเผ่าพยู
ข้อขัดแย้งมักยุติด้วยการคัดเลือกตัวแทนให้เข้าประลองความสามารถกัน
ชาวพยูสวมใส่เครื่องแต่งกายที่ทำจากฝ้าย อาชญากรมักถูกลงโทษด้วยการโบยหรือจำขัง
เว้นแต่ได้กระทำความผิดอันร้ายแรงจึงต้องโทษประหารชีวิต
ชาวพยูนับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท เด็ก ๆ ได้รับการศึกษาที่วัดตั้งแต่อายุ 7
ขวบจนถึง 20 ปี นครรัฐของชาวพยูไม่เคยรวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
แต่นครรัฐขนาดใหญ่มักมีอิทธิพลเหนือนครรัฐขนาดเล็กซึ่งแสดงออกโดยการส่งเครื่องบรรณาการให้
นครรัฐที่มีอิทธิพลมากที่สุดได้แก่ศรีเกษตร
|
|
|
ซึ่งมีหลักฐานเชื่อได้ว่า
เป็นเมืองโบราณที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศพม่า
ไม่ปรากฏหลักฐานว่าอาณาจักรศรีเกษตรถูกสถาปนาขึ้นเมื่อใด
แต่มีการกล่าวถึงในพงศาวดารว่ามีการเปลี่ยนราชวงศ์เกิดขึ้นในปีพุทธศักราช 637
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอาณาจักรศรีเกษตรต้องได้รับการสถาปนาขึ้นก่อนหน้านั้น
มีความชัดเจนว่า อาณาจักรศรีเกษตรถูกละทิ้งไปในปีพุทธศักราช 1199
เพื่ออพยพย้ายขึ้นไปสถาปนาเมืองหลวงใหม่ทางตอนเหนือ
แต่ยังไม่ทราบอย่างแน่ชัดว่าเมืองดังกล่าวคือเมืองใด
นักประวัติศาสตร์บางท่านเชื่อว่าเมืองดังกล่าวคือเมืองหะลินคยี
อย่างไรก็ตามเมืองดังกล่าวถูกรุกรานจากอาณาจักรน่านเจ้าในราวพุทธศตวรรษที่ 15
จากนั้นก็ไม่ปรากฏหลักฐานกล่าวถึงชาวพยูอีก |
|
|
|
|
ยุคอาณาจักรพุกาม
ชาวพม่าเป็นชนเผ่าจากทางตอนเหนือที่ค่อย ๆ
อพยพแทรกซึมเข้ามาสั่งสมอิทธิพลในดินแดนประเทศพม่าทีละน้อย กระทั่งปีพุทธศักราช
1392 จึงมีหลักฐานถึงอาณาจักรอันทรงอำนาจซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่เมือง "พุกาม"
(Pagan)
โดยได้เข้ามาแทนที่ภาวะสุญญากาศทางอำนาจภายหลังจากการเสื่อมสลายไปของอาณาจักรชาวพยู
อาณาจักรของชาวพุกามแต่แรกนั้นมิได้เติบโตขึ้นอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกระทั่งในรัชสมัยของพระเจ้าอโนรธา(พ.ศ.1587–1620)
พระองค์จึงสามารถรวบรวมแผ่นดินพม่าให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันสำเร็จ
และเมื่อพระองค์ทรงตีเมืองท่าตอนของชาวมอญได้ในปีพุทธศักราช1600
อาณาจักรพุกามก็กลายเป็นอาณาจักรที่เข้มแข็งที่สุดในดินแดนพม่า
อาณาจักรพุกามมีความเข้มแข็งเพิ่มมากขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าจานสิตา(พ.ศ.1624–1655)และพระเจ้าอลองสิธู(พ.ศ.1655–1710)
ทำให้ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่
17ดินแดนในคาบสมุทรสุวรรณภูมิเกือบทั้งหมดถูกครอบครองโดยอาณาจักรเพียงสองแห่ง
คือเขมรและพุกามอำนาจของอาณาจักรพุกามค่อยๆ
เสื่อมลง
|
|
|
ด้วยเหตุผลหลักสองประการ
ส่วนหนึ่งจากการถูกเข้าครอบงำโดยของคณะสงฆ์ผู้มีอำนาจ
และอีกส่วนหนึ่งจากการรุกรานของจักรวรรดิมองโกลที่เข้ามาทางตอนเหนือ
พระเจ้านรสีหบดี (ครองราชย์ พ.ศ. 1779–1830)
ได้ทรงนำทัพสู่ยุนนานเพื่อยับยั้งการขยายอำนาจของมองโกล
แต่เมื่อพระองค์แพ้สงครามที่งาสองกยัน (Ngasaunggyan) ในปีพุทธศักราช 1820
ทัพของอาณาจักรพุกามก็ระส่ำระสายเกือบทั้งหมด
พระเจ้านรสีหบดีถูกพระราชโอรสปลงพระชนม์ในปีพุทธศักราช 1830
กลายเป็นตัวเร่งที่ทำให้อาณาจักรมองโกลตัดสินใจรุกรานอาณาจักรพุกามในปีเดียวกันนั้น
ภายหลังสงครามครั้งนี้
อาณาจักรมองโกลก็สามารถเข้าครอบครองดินแดนของอาณาจักรพุกามได้ทั้งหมด
ราชวงศ์พุกามสิ้นสุดลงเมื่อมองโกลได้แต่งตั้งรัฐบาลหุ่นขึ้นบริหารดินแดนพม่าในปีพุทธศักราช
1832 |
|
|
|
|
ยุคอังวะและหงสาวดี
หลังจากการล่มสลายของอาณาจักรพุกามพม่าได้แตกแยกออกจากกันอีกครั้งราชวงศ์อังวะซึ่งได้รับอิทธิพล
ทางวัฒนธรรมจากอาณาจักรพุกามได้ถูกสถาปนาขึ้นที่เมืองอังวะในปีพุทธศักราช 1907
ศิลปะและวรรณกรรมของพุกามได้ถูกฟื้นฟูจนยุคนี้กลายเป็นยุคทองแห่งวรรณกรรมของพม่า
แต่เนื่องด้วยอาณาเขตที่ยากต่อการป้องกันการรุกรานจากศัตรู
เมืองอังวะจึงถูกชาวไทใหญ่เข้าครอบครองได้ในปีพุทธศักราช 2070 สำหรับดินแดนทางใต้
ชาวมอญได้สถาปนาอาณาจักรของพวกตนขึ้นใหม่อีกครั้งที่หงสาวดี โดยกษัตริย์ธรรมเจดีย์
(ครองราชย์ พ.ศ. 1970 – 2035)เป็นจุดเริ่มต้นยุคทองของมอญ
ซึ่งเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนานิกายเถรวาทและศูนย์กลางทางการค้าขนาดใหญ่ในเวลาต่อมา
|
|
|
|
|
ยุคอาณาจักรตองอู
หลังจากถูกรุกรานจากไทใหญ่
ชาวอังวะได้อพยพลงมาสถาปนาอาณาจักรแห่งใหม่โดยมีศูนย์กลางที่เมืองตองอูในปีพุทธศักราช
2074 ภายใต้การนำของพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ (ครองราชย์ พ.ศ. 2074–2093)
ซึ่งสามารถรวบรวมพม่าเกือบทั้งหมดให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อีกครั้ง
ในช่วงระยะเวลานี้ ได้มีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่เกิดขึ้นในภูมิภาค
ชาวไทใหญ่มีกำลังเข้มแข็งเป็นอย่างมากทางตอนเหนือ
การเมืองภายในอาณาจักรอยุธยาเกิดความไม่มั่นคง
ในขณะที่โปรตุเกสได้เริ่มมีอิทธิพลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสามารถเข้าครอบครองมะละกาได้
เกี่ยวกับการเข้ามาของบรรดาพ่อค้าชาวยุโรป
พม่ากลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญอีกครั้งหนึ่ง
การที่พระเจ้าตะเบงชะเวตี้ได้ย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่เมืองหงสาวดี
เหตุผลส่วนหนึ่งก็เนื่องด้วยทำเลทางการค้า พระเจ้าบุเรงนอง (ครองราชย์ พ.ศ.
2094–2124)ซึ่งเป็นพระเทวัน(พี่เขย)ของพระเจ้าตะเบงชะเวตี้
ได้ขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระเจ้าตะเบงชะเวตี้
|
|
|
และสามารถเข้าครอบครองอาณาจักรต่าง ๆ รายรอบได้ อาทิ มณีปุระ
(พ.ศ. 2103) อยุธยา (พ.ศ. 2112)
ราชการสงครามของพระองค์ทำให้พม่ามีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลที่สุดอย่างไรก็ตาม
ทั้งมณีปุระและอยุธยา ต่างก็สามารถประกาศตนเป็นอิสระได้ภายในเวลาต่อมาไม่นาน
เมื่อต้องเผชิญกับการก่อกบฏจากเมืองขึ้นหลายแห่งประกอบกับการรุกรานของโปรตุเกส
กษัตริย์แห่งราชวงศ์ตองอู จำเป็นต้องถอนตัวจากการครอบครองดินแดนทางตอนใต้
โดยย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เมืองอังวะ พระเจ้าอะนอกะเพตลุน (Anaukpetlun)
พระนัดดาของพระเจ้าบุเรงนอง
สามารถรวบรวมแผ่นดินพม่าให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกครั้งในพุทธศักราช 2156
พระองค์ตัดสินใจที่จะใช้กำลังเข้าต่อต้านการรุกรานของโปรตุเกส พระเจ้าธารุน
(Thalun) ผู้สืบทอดราชบัลลังก์ ได้ฟื้นฟูหลักธรรมศาสตร์ของอาณาจักรพุกามเก่า
แต่พระองค์ทรงใช้เวลากับเรื่องศาสนามากเกินไป จนละเลยที่จะใส่ใจต่ออาณาเขตทางตอนใต้
ท้ายที่สุด หงสาวดี ที่ได้รับการสนับสนุนจากฝรั่งเศสซึ่งตั้งมั่นอยู่ในอินเดีย
ก็ได้ทำการประกาศเอกราชจากอังวะ จากนั้นอาณาจักรของชาวพม่าก็ค่อย ๆ
อ่อนแอลงและล่มสลายไปในปีพุทธศักราช 2295
จากการรุกรานของชาวมอญ
|
|
|
|
|
ยุคราชวงศ์อลองพญาู
ราชวงศ์อลองพญาได้รับการสถาปนาขึ้นและสร้างความเข้มแข็งจนถึงขีดสุดได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว
พระเจ้าอลองพญาซึ่งเป็นผู้นำที่ได้รับความนิยมจากชาวพม่า
ได้ขับไล่ชาวมอญที่เข้ามาครอบครองดินแดนของชาวพม่าได้ในปี
พ.ศ.2296จากนั้นก็สามารถเข้ายึดครองอาณาจักรมอญได้อีกครั้งในปี พ.ศ.2302
ทั้งยังสามารถกลับเข้ายึดครองกรุงมณีปุระได้ในช่วงเวลาเดียวกัน
พระองค์สถาปนาให้เมืองย่างกุ้งเป็นเมืองหลวงในปี
พ.ศ.2303หลังจากเข้ายึดครองตะนาวศรี
(Tenasserim)พระองค์ได้ยาตราทัพเข้ารุกรานอยุธยาแต่ต้องประสบความล้มเหลวเมื่อพระองค์ทรงสวรรคตระหว่างการสู้รบ
พระเจ้าเซงพะยูเชง (Hsinbyushin, ครองราชย์ พ.ศ. 2306 – 2319) พระราชโอรส
ได้โปรดให้ส่งทัพเข้ารุกรานอาณาจักรอยุธยาอีกครั้งในปี
พ.ศ.2309ซึ่งประสบความสำเร็จในปีถัดมา ในรัชสมัยนี้
แม้จีนจะพยายามขยายอำนาจเข้าสู่ดินแดนพม่า
แต่พระองค์ก็สามารถยับยั้งการรุกรานของจีนได้ทั้งสี่ครั้ง (ในช่วงปี พ.ศ.
2309–2312)
ทำให้ความพยายามในการขยายพรมแดนของจีนทางด้านนี้ต้องยุติลง
|
|
|
ในรัชสมัยของพระเจ้าโบดอพญา (Bodawpaya, ครองราชย์ พ.ศ.
2324–2362) พระโอรสอีกพระองค์หนึ่งของพระเจ้าอลองพญา
พม่าต้องสูญเสียอำนาจที่มีเหนืออยุธยาไป แต่ก็สามารถผนวกดินแดนยะไข่ (Arakan)
และตะนาวศรี (Tenasserim) เข้ามาไว้ได้ในปี พ.ศ. 2327 และ 2336 ตามลำดับ
ในช่วงเดือนมกราคมของปี พ.ศ. 2366 ซึ่งอยู่ในรัชสมัยของพระเจ้าบาคยีดอว์ (Bagyidaw,
ครองราชย์ พ.ศ. 2362–2380) ขุนนางชื่อมหาพันธุละ (Maha Bandula)
นำทัพเข้ารุกรานแคว้นอัสสัมได้สำเร็จ
ทำให้พม่าต้องเผชิญหน้าโดยตรงกับอังกฤษที่ครอบครองอินเดียอยู่ในขณะนั้น
|
|
|
|
|
ยุคสงครามกับอังกฤษและการล่มสลายของราชอาณาจักรพม่า
สืบเนื่องจากการพยายามขยายอำนาจของอังกฤษ
กองทัพอังกฤษโดยความร่วมมือของสยามได้เข้าทำสงครามกับพม่าในปี พ.ศ. 2367
สงครามระหว่างพม่าและอังกฤษครั้งที่หนึ่งนี้ (พ.ศ. 2367–2369)
ยุติลงโดยอังกฤษเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ ฝ่ายพม่าจำต้องทำสนธิสัญญายันดาโบ
(Yandaboo)กับอังกฤษ ทำให้พม่าต้องสูญเสียดินแดนอัสสัม มณีปุระ ยะข่าย
และตะนาวศรีไป ซึ่งอังกฤษเริ่มก็ต้นตักตวงทรัพยากรต่าง ๆ ของพม่านับแต่นั้น
เพื่อเป็นหลักประกันสำหรับวัตถุดิบที่จะป้อนสู่สิงคโปร์
สร้างความแค้นเคืองให้กับทางพม่าเป็นอย่างมากกษัตริย์องค์ต่อมาจึงทรงยกเลิกสนธิสัญญายันดาโบ
และทำการโจมตีผลประโยชน์ของฝ่ายอังกฤษ ทั้งต่อบุคคลและเรือ
เป็นต้นเหตุให้เกิดสงครามระหว่างพม่าและอังกฤษครั้งที่สอง
ซึ่งก็จบลงโดยชัยชนะเป็นของอังกฤษอีกครั้ง หลังสิ้นสุดสงครามครั้งนี้
อังกฤษได้ผนวกหงสาวดีและพื้นที่ใกล้เคียงเข้าไว้กับตน
โดยได้เรียกดินแดนดังกล่าวเสียใหม่ว่าพม่าตอนใต้
สงครามครั้งนี้ก่อให้เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ในพม่า
|
|
|
เริ่มต้นด้วยการเข้ายึดอำนาจโดยพระเจ้ามินดง (Mindon Min) ครองราชย์
พ.ศ. 2396–2421) จากพระเจ้าปะกัน (Pagin Min, ครองราชย์ พ.ศ. 2389–2396)
ซึ่งเป็นพระเชษฐาต่างพระชนนี
พระเจ้ามินดงพยายามพัฒนาประเทศพม่าเพื่อต่อต้านการรุกรานของอังกฤษ
พระองค์ได้สถาปนากรุงมัณฑะเลย์ ซึ่งยากต่อการรุกรานจากภายนอก
ขึ้นเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้งการรุกรานจากอังกฤษได้
รัชสมัยต่อมา พระเจ้าธีบอ (Thibow, ครองราชย์ พ.ศ. 2421–2428)
ซึ่งเป็นพระโอรสของพระเจ้ามินดง ทรงมีบารมีไม่พอที่จะควบคุมพระราชอาณาจักรได้
จึงทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นไปทั่วในบริเวณชายแดน
ในที่สุดพระองค์ได้ตัดสินพระทัยยกเลิกสนธิสัญญากับอังกฤษที่พระเจ้ามินดงได้ทรงกระทำไว้
และได้ประกาศสงครามกับอังกฤษเป็นครั้งที่สามในปีพุทธศักราช 2428
ผลของสงครามครั้งนี้ทำให้อังกฤษสามารถเข้าครอบครองดินแดนประเทศพม่าส่วนที่เหลือเอาไว้ได้ |
|
|
|
วัฒนธรรมและประชากรประเทศพม่า |
|
|
|
|
ของพม่าได้รับอิทธิพลทั้งจากจีน อินเดีย และไทยมาช้านาน
ดังสะท้อนให้เห็นในด้านภาษา ดนตรี และอาหาร
สำหรับศิลปะของพม่านั้นได้รับอิทธิพลจากวรรณคดีและพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทมาตั้งแต่ครั้งโบราณ
ในปัจจุบันนี้วัฒนธรรมพม่ายังได้รับอิทธิพลจากตะวันตกมากขึ้น
ซึ่งเห็นได้ชัดจากเขตชนบทของประเทศ ด้านการแต่งกาย
ชาวพม่าทั้งหญิงและชายนิยมนุ่งโสร่ง เรียกว่า ลองยี ส่วนการแต่งกายแบบโบราณเรียกว่า
ลุนตยาอชิกจำนวนประชากรประมาณ 50.51 ล้านคน ความหนาแน่นโดยเฉลี่ย 61
คน/ตารางกิโลเมตร พม่ามีประชากรหลายเชื้อชาติ จึงเกิดเป็นปัญหาชนกลุ่มน้อย
มีชาติพันธุ์พม่า 63% ไทยใหญ่ 16% มอญ 5% ยะไข่ 5% กะเหรี่ยง 3.5% คะฉิ่น 3% ไทย 3%
ชิน 1%
|
|
|
|
|
ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเดินทางมาท่องเที่ยวมากที่สุดคือ
ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์
อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ
21-28 องศาเซลเซียส |
|
|
|
|
นอกจากภาษาพม่า ซึ่งเป็นภาษาราชการแล้ว พม่ามีภาษาหลักที่ใช้งานในประเทศถึงอีก
18 ภาษา[2] โดยแบ่งตามตระกูลภาษาได้ดังนี้ตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก ได้แก่ ภาษามอญ
ภาษาปะหล่อง ภาษาปะลัง (ปลัง) ภาษาปะรวก และภาษาว้า
ตระกูลภาษาซิโน-ทิเบตัน
ได้แก่ ภาษาพม่า (ภาษาราชการ) ภาษากะเหรี่ยง ภาษาอารากัน (ยะไข่) ภาษาจิงผ่อ
(กะฉิ่น) และ ภาษาอาข่า ตระกูลภาษาไท-กะได ได้แก่ ภาษาไทใหญ่ (ฉาน) ภาษาไทลื้อ
ภาษาไทขึน ภาษาไทคำตี่ มีผู้พูดหนาแน่นในรัฐฉาน และรัฐกะฉิ่น ส่วนภาษาไทยถิ่นใต้
ภาษาไทยกลาง และภาษาไทยถิ่นอีสาน มีผู้พูดในเขตตะนาวศรี
ตระกูลภาษาม้ง-เมี่ยน
ได้แก่ ภาษาม้งและภาษาเย้า (เมี่ยน)
ตระกูลภาษาออสโตรนีเชียน ได้แก่
ภาษามอเกนและภาษามาเลย์ ในเขตตะนาวศรี |
|
|
|
|
พม่ามีสกุลเงินอย่างเป็นทางการคือ เงินจ๊าด แต่บางครั้งมีการใช้เงิน FEC
(Foreign Exchange Certificate) ที่เรียกกันว่า
เงินผูกขาดหรือเงินนักท่องเที่ยว
มีค่าเทียบเท่ากับดอลล่าร์สหรัฐ 1 ดอลล่าร์สหรัฐสามารถแลกได้ประมาณ 6
จ๊าด |
|
|
|
แนะนำเมืองท่องเที่ยวประเทศพม่า |
|
|
|
|
จากเรื่องราวประวัติศาสตร์ของพม่าข้างต้น
นั้นสะท้อนให้เห็นถึงอารยธรรมที่สะสมมาแต่เนิ่นนาน ผ่านมาถึง 7 ยุคสมัย
ซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศพม่า
ตามเมืองเด่นๆดังนี้ |
|
|
|
|
ย่างกุ้ง (Yangon)
ที่ประดิษฐานเจดีย์ทองงามสง่า "ชเวดากอง"
ภาพสะท้อนยุคอาณานิคมอังกฤษ |
|
|
|
|
หงสาวดี(Bago)
เมืองเอกอู่ข้าวอู่น้ำพม่า อดีตเมืองท่าทางทะเล
ภาพสะท้อนความรุ่งเรืองของอาณาจักรมอญ |
|
|
|
|
ไจ้โถ่(Kyaikhtiyo)
ถิ่นชาวมอญ
ก้อนหินทองงามสง่า |
|
|
|
|
พุกาม(Bagan)
ดินแดนหมื่นเจดีย์ |
|
|
|
|
มัณฑะเลย์(Mandalay)
ราชธานีสุดท้าย ศูนย์กลางพระพุทธศาสนา ถิ่นมหาคัมภีร์ไตรปิฏก
ตำนานพระยะไข่ |
|
|
|
|
กะลอ(Kalaw)
สวิตเซอร์แลนด์แห่งพม่า |
|
|
|
อ้างอิง: วิกีพีเดียสารานุกรมเสรี,
หน้าต่างสู่โลกกว้าง(พม่า) ทัวร์พม่า เที่ยวพม่า
ประเทศพม่า |
|
|
No comments:
Post a Comment